
เชื่อว่าเพื่อนๆหลายๆคนที่เริ่มจะอยากทาสีบ้านของตัวเองต้องสงสัยกันไปตามๆกัน คือ สีทาบ้านมีเกรดด้วยหรอ แล้ว เกรดสีทาบ้าน สำคัญอย่างไร? วันนี้ผมจะมาอธิบายให้เพื่อนๆได้หายสงสัยกันครับ
เกรดสีทาบ้าน สำคัญอย่างไร?

ก่อนที่จะไปตอบคำถามว่า เกรดสีทาบ้าน สำคัญอย่างไร? พบจะขอพูดถึงองค์ประกอบของสีให้รู้กันก่อนนะครับ องค์ประกอบของสีทาบ้านจะมีอยู่ด้วยกัน 4 อย่างครับ
- สารยึดเกาะ (binder) คือ องค์ประกอบของสีที่ทำให้เกิดฟิล์มสี (FILM FORMER) ยึดเกาะและเป็นฟิล์มที่ต่อเนื่องเคลือบไปบนพื้นผิววัสดุนั้น โดยจะใส่ในสัดส่วนแล้วแต่ผู้ผลิตแต่ละเจ้าครับ
- ผงสี (pigment) คือ แม่สีต่างๆที่ใส่เพื่อให้เกิดเฉดสีต่างๆ ทำหน้าที่ปกปิดพื้นผิว หรือ ในกรณีในสีกันสนิม ผงสีจะช่วยในเรื่องการป้องกันสนิมนั้นเองครับ
- สารผสมเพิ่ม (admixture) คือ สารที่ใส่เพื่อเพิ่มคุณสมบัติของสีให้มีฟังก์ชั่นในการใช้งานเพิ่มขึ้น เช่น กันเชื้อรา กำจัดไวรัส เป็นต้น
- ตัวทำละลาย (Solvent) คือ ของเหลวที่ใช้ในการปรับความข้นเหลวของสีเพื่อให้มีความเหมาะสมกับประเภทของสีในการผลิตหรือการเก็บรักษา

โดยสีที่เป็นตัวที่แบ่งเกรดของสีนั้นก็คือ สารยึดเกาะนั้นเองครับ ยิ่งปริมาณสารยึดเกาะอยู่ในปริมาณมาก สีรุ่นนั้นๆจะเป็นสีเกรดสูงครับ ซึ่งสารยึดเกาะนอกจากจะทำให้เกิดการฟอร์มฟิล์มสีแล้ว หน้าที่สำคัญเลย คือ ทำให้สีมีความคงทนต่อสภาวะอากาศและปกป้องพื้นผิวจากสภาวะอีกด้วยครับ

ดังนั้นคำถามที่ว่า เกรดของสี สำคัญอย่างไร? คำตอบก็คือ เกรดของสีสำคัญ คือ ถ้าเป็นสีเกรดสูงๆ การปกป้องพื้นผิว การคงทนต่อสภาวะอากาศจะสามารถทำได้ดีมากๆ โดยส่วนมากตามท้องตลาดจะอยู่ที่ 15 ปีครับ และการเสื่อมสภาพของฟิล์มสี(สีเป็นฝุ่น) จะน้อยอีกด้วยครับ โดยข้อสังเกต คือ ถ้าเป็นสีเกรดสูงของแต่ละแบรนด์จะมีคำว่า “sheild” ต่อท้ายทุกยี่ห้อครับ เช่น supersheild (TOA) jotasheild (JOTUN) begersheild (BEGER) wealthersheild (DULUX) hybridsheild (NIPPON) เป็นต้น
ทั้งนี้ถ้าเกรดของสีไม่สูงมาก การเสื่อมสภาพของสีก็จะเร็วขึ้นและการปกป้องพื้นผิวหรือการคงทนต่อสภาวะอากาศก็จะน้อยลง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าของบ้านเอง ถ้าต้องการทาสีทุกๆ 3 ปี การใช้สีเกรดสูงงบอาจจะมากเกินไป แต่ถ้าต้องการทาสีแล้วใช้ไปยาวๆ 5-10 ปี สีเกรดสูงก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าครับ